วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สังเกตุอย่างไรว่าแฮมสเตอร์ป่วย

.....แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยป่วย อาการที่บงบอกว่าแฮมสเตอร์ป่วย ได้แก่

....นอนมากเกินปกติ ยกเว้นในแฮมสเตอรที่แก่แล้ว
....ไม่ค่อยทำความสะอาดตัวเอง ตัวค่อนข้างสกปรก ขนค่อนข้างยุ่ง
....ซึมเศร้า
....หงุดหงิดง่าย และมักหางเปียก
....ท้องเสีย
....ขนร่วงมีน้ำมูกน้ำตาไหล หรือเกาบ่อยเกินไป
....เดินกระเผลก
....มีบาดแผล
....ตาเจ็บ มีขี้ตา ลืมตาไม่ขึ้น
....ผอมหายใจลำบาก

โรคของหนูแฮมเตอร์


................ ขนร่วง การที่หนูแฮมสเตอร์ขนร่วงก็อาจจะมีสาเหตุมาจาก กรงไม่สะอาด อากาศร้อน อับชื้น หรือเกิอจากมีอายุมาก
หรือเครียดมากๆ
.วิธีดูแลเบื้องต้น.ใช้เยนเซี่ยนไวโอเล็ต (ที่ทาปากเด็ก สีม่วงๆ ขวดละ 8 บาท) ทาทุกเช้าเย็น อาการจะดีขึ้น
ทาบิเวณรอบๆแผลที่มีขนด้วยกันลาม การที่หนูขนร่วงไม่เป็นเรื่องร้ายแรงแต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รีบรักษา อาจจะลามได้

................ โรคหางเปียก เกิดจากอาหารเป็นพิษ บวกด้วยอากาศร้อน และความไม่สะอาด หรือเกิดการเครียดมากๆ เช่น เปลี่ยน
ที่อยู่ใหม่ อาการของโรค จะเริ่มต้นที่ท้องเสียก่อน และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคหางเปียก ลักษณอาการนั้นจะทำให้หนูขาดน้ำ
กนอาหารไม่ได้ และก็เสียชีวิตในที่สุด


................ โรคท้องเสีย อาการของโรคท้องเสียก็เหมือนหรือคล้ายๆกับโรคหางเปียก


................ โรคเนื้องอก เป็นอีกโรคหนึ่งถ้าไม่พาไปหาหมอแล้วอาจจะถึงกับตายได้ โรคนี้มักเกิดกับหนูที่มีอายุมาก หรือมีลูกบ่อย
หลายคอกติดๆ กัน อาการของโรคนี้จะเป็นก้อนเนื้อแข็งๆ เป็นก้อนกลมๆ อยู่ที่ใต้ท้อง / โคนขา หรือตรงนม ก้อนเนื้อที่โผล่ออกมา
สามารถเห็นได้ชัดเจน


................ ขี้เรื้อน โรคนี้คล้ายๆกับเป็นรังแค เหมือนกับหนังที่แห้งและลอกออกเป้นแผ่นๆ เกิดจากอากาศร้อน ขี้เลื่อยไม่สะอาด
หรือสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ โรคนี้มักจะเกิดกับหนูที่อายุน้อยๆ ประมาณ2 อาทิตย์กว่าๆ -1 เดือน

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์
อาหารหลักที่ควรให้แฮมสเตอร์ คือ ธัญพืชโดยจะโปรยอาหารลงบนพื้นก็ได้เพราะแฮมสเตอร์ไม่มีนิสัยชอบก้มกิน มันจะชอบหยิบอหารออกมากินนอกภาชนะมากกว่า โดยใช้เท้าหน้าจับอาหารกิน แต่การใช้ภาชนะมีข้อดี คือจะทำให้เราได้รู้ว่ามันเอาอาหารออกไปกิน มากน้อยแค่ไหน ถ้ามันป่วยเราก็รู้ได้ นอกจากนี้ การใส่ภาชนะยังทำให้อาหารและขี้เลื่อยไม่ปะปนกันทำให้การเปลื่ยนขี้เลื่อยทำได้ง่ายโ
ยไม่ต้องทิ้งอาหารที่ปนกับขี้เลื่อย
สิ่งที่ควรทราบในการให้อาหารแฮมสเตอร์

1. อย่าให้ผักสด หรือผลไม้สดบ่อยๆหรือมากเกินไป การให้ผักสดควรให้แค่สัปดาห์ละครั้งเพราะอาจจะทำให้แฮมสเตอร์ท้องอืด หรือท้องเสียได้และหากมันกินไม่หมดควรจะเก็บทิ้งทันที

2. พยายามอย่าเปลื่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ควรจะค่อยๆ เปลื่ยนอาหารโดยเอาอาหารเก่า ผสมกับอาหารใหม่ และเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทนที่อาหารเก่าในที่สุด อย่าเปลื่ยนแบบฉับพลัน

3. อาหารที่ควรหลีกเลื่ยงช็อคโกแลต โดยเฉพาะ Dark Chocolate เพราะมีสาร Theobromine ซึ่งเป็นพิษต่อแฮมสเตอร์ได้

4. หลีกเลื่ยงผักผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยวๆ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด เป็นต้น

5. เราอาจจะเสริมโปรตีนให้กับแฮมสเตอร์ได้ โดยการให้อาหารเม็ดของแมวหรืออาหารสุนัขที่เป็น บิสกิต ใส่ลงไปได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งช่วยเสริมโปรตีนและยังช่วยลับฟันแฮมสเตอร์ไม่ให้ยาวเกินไปอีกด้วย

6. อาหารที่ไม่ปลอดภัยสำหรับแฮมสเตอร์ ได้แก่ หัวหอม มันฝรั่งดิบ กระเทียม น้ำอัดลม ลูกกวาด เป็นต้น

7. หลีกเลี่ยงอาหารที่แหลมคม หรือ เหนียวหนืด

8. ขนมหรืออาหารหวานๆเพราะแฮมสเตอร์แคระมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้

9. หลีกเลี่ยง อาหารเม็ดของกระต่าย เพราะบางชนิดใส่สารอาหารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้น การเจริญเติบโตในกระต่าย แต่เป็นอันตรายต่อแฮมสเตอร์

10. หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเพรา

อาหารเสริมอื่นๆ

ไข่

หนูแฮมสเตอร์ชอบกินไข่ต้มที่ต้มสุก และไข่ต้มยังมีโปรตีนสูงอีกด้วยโดยเฉพาะในแม่แฮมสเตอร์ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่ว่าให้ตลอด นานๆ ให้ทีถ้ากินไม่หมดต้องเก็บออกให้หมด

น้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลาจะอุดมไปด้วยวิตามิน A และ D ใช้โดยการหยดเพียงไม่กี่หยดลงบนเมล็ดพืชก็ได้สามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง อาจจะให้อาหารเม็ด สำหรับสุนัขที่มีส่วนผสมของน้ำมันตับปลาก็ได้

เนื้อ

เรื่องการให้เนื้อเป็นอาหารแก่แฮมสเตอร์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงทั้งหลายต่อต้านกันมานาน เพราะเชื่อว่า อาหารประเภทเนื้อจะกระตุ้น ให้แฮมสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มีรายงานจากผู้เลี้ยงหลายๆ คนซึ่งให้เนื้อเป็นอาหารเป็นประจำว่าไม่มีการก้าวร้าวผิดปรกติแต่อย่างใด โกยอาจจะให้เป็น เนื้อวัวชิ้นเล็กๆ หรืออาจจะให้อาหารสุนัขที่บรรจุกระป๋องก็ได้

นม

อาจจะให้ได้บ้าง โดยเฉพาะแม่หนูที่กำลังท้อง หรือ อาจจะให้เป็นนมอัดเม็ดก็ได้

อาหารนกผสม

สามารถจะให้อาหารเม็ด เช่น เมล็ดพืชสำหรับนกก็ได้โดยให้สัปดาห์ละครั้ง

การผสมพันธ์
แฮมสเตอร์เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยสั้น มันจึงต้องแพร่พันธุ์เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ อย่าผสมข้ามพันธุ์แฮมสเตอร์หากท่านยังไม่พร้อม สำหรับชีวิตน้อน ๆ อีกหลาย ๆ ชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ท่านมีกรงให้พร้อมหรือไม่ท่านมีเวลาเพียงพอสำหรับมันหรือไม่

โปรดศึกษาแฮมสเตอร์ให้เข้าใจก่อนผสมพันธุ์ เพื่ิอให้ลูกที่เกิดออกมาแข็งแรงและไม่มีข้อบกพร่องทางพันธุ์กรรม

SYRAIN

Syrain เป็นแฮมสเตอร์ที่รักสันโดษ หากเราปล่อยให้ Syrainหลาย ๆ ตัวอยู่ด้วยกันมันมักจะกัดกัน ดังนั้นการจับคู่ Syrain เพื่อการผสมพันธุ์นั้น เราจำเป็นต้องระวังมาก ๆ

Syrain เพศเมีจะเป็นฮีทในทุกๆ 4 วัน ในการผสมพันธุ์ต้องเตรียมรังไว้ให้ก่อนโดยการใส่วัสดุปูพื้นใหม่ลงไป และหลังจากนั้นใส่วัสดุตัวผู้ลงไปก่อนและปล่อยให้ตัวผู้เดินไปมาและสร้างกลิ่นก่อนสั
พักหลังจากนั้นจึงค่อยใส่ตัวเมียลงไป หากตัวเมียต่อต้าน ไม่ยอมรับการผสมพันธุ์โดยการจู่โจมหรือการเข้าทำร้ายตัวผู้ ให้รีบแยกตัวตัวเมียออกก่อนที่จะมีตัวใดได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้หากแฮมสเตอร์ตัวเมียไม่ได้เป็นฮีท มันก็อาจจะไม่ยอมรับการผสมจากตัวผู้และอาจจะทำร้ายตัวผู้ได้

หลังจากนั้นอีก 2-3 วันให้ทดลองใหม่อีกครั้ง หากแฮมสเตอร์ตัวเมียเมื่อปล่อยลงไปแล้วยืนอยู่นิ่ง ๆ และเหยียดขาตรง ยกหางชี้ขึ้นแสดงว่าตัวเมียยอมรับการผสมพันธุ์ หลังจากนั้นปล่อยให้แฮมสเตอร์ผสมพันธุ์กันประมาณ 20 นาทีและแยกแฮมสเตอร์ออกจากกัน เพราะหากปล่อยตัวผู้ไว้กับตัวเมียนานเกินไป ตัวเมียอาจจะตัดสินใจกำจัด หรือทำร้ายตัวผู้ได้ หลังจากนั้น 16-18 วันหากผสมติด เราจะได้ลูกแฮมสเตอร์สีชมพูอยู่ในกรง

การเลือกซื้อหนู

ควรเลือกซื้อแฮมสเตอร์ในช่วงเวลาเย็น ๆ เพราะแฮมสเตอร์จะนอนในเวลากลางวันจะงัวเงีย ทำให้ดูยาก เวลาป่วยหรือไม แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาตอนเย็น มันจะคึกคักทำให้ดราเลือกได้ง่ายกว่า และเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตัวที่ซึม เพราะป่วยและตัวที่ไม่ป่วย

เลี้ยงหลายตัวได้หรือไม่

อาจจะเลี้ยงแฮมสเตอร์มากกว่า 1 ตัวในกรงเดียวกันได้ แต่ขึ้ยอยู่กับพันธุ์ของแฮมสเตอร์ด้วยถ้าเป็นแฮสเตอร์แคระแล้วหล่ะก็ มันเป็นสัตว์สังคมพอสมควรสามารถจะเลี้ยงด้วยกันได้หากเลี้ยงไว้ด้วยกันตั้งแต่เล็ก มักไม่ค่อยมีปัญหาทะเลาะกันแต่ไม่ควรเลี้ยงแฮมสเตอร์ต่างสายพันธุ์ไว้ด้วยกัน เพราะนิสัยจะแตต่างกันจะทำให้มัเครียดและอาจจะกัดกันจนตายได้ หรือเกิดปัญหาจาการผสมข้ามพันธุ์

อย่าใส่ถุงกระดาษกลับบ้าน ถ้าต้องการเดินทางนาน ๆ

เวลาที่เราซื้อแล้ว ร้านขายสัตว์เลี้ยงอาจะเอาแฮมสเตอร์ใส่กล่องหรือถุงกระดาษนำกลับบ้่าน แต่ถ้าเราต้องใช้เวลาเดินทางนานแฮมสเตอร์อาจจะแทะทะลุถุงกระดาษออกมาและหลบหนีได้ เราจะขอให้ผู้ขายเปลื่ยนจากถุงกระดาษมาใส่ภาชนะพลาสติกแทน

ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่สุขภาพดี

แฮมสเตอร์ควรจะสะอาด ขนสะอาด ไม่มีอุจจาระเปื้อนหรือเหม็นผิดปรกติ และไม่ผอมผิดปรกติไม่ซึมไม่มีบาทแผลทั้งตัวและนิ้วเท้าหูต้องสะอาดท้งด้านในและด้านน
ก ตาต้องสดใสและสะอาด

ควรจะเลือกแฮมสเตอร์ที่อายุระหว่าง 4-7 สัปดาห์

การเลือกซื้อหนูแฮมเตอร์ จะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวไหนเป็น Campbells หรือ Winter White

แล้วเวลาซื้อ จะรู้ได้อย่างไร ว่าตัวไหนเป็น Campbells หรือ Winter White

           ที่พอจะสังเกตุข้อแตกต่างได้ ก็คือ Campbells จะมีลายพาดบนหลังเส้นเดียวชัดเจนกว่า ส่วนลายด้านข้างๆ ก็จะไม่ชัดเท่า Winter White  แต่ไในเมืองไทยตอนนี้สายพันธุ์ Campbells ยังไม่แพร่หลายมากนัก แม้จะมีการนำเข้ามาบ้างแล้ว แต่เท่าที่เห็นก็มีเพียงสีขาวตาแดงเท่านั้น จึงดูง่าย ไม่สับสน

          แฮมสเตอร์แต่ละสายพันธุ์ จะมีนิสัยที่แตกต่างไปอีกด้วย เช่น Syrian จะเป็นแฮมสเตอร์ที่รักสันโดษ มักจะกัดกัน แต่แฮมสเตอร์แคระ จะสามารถอยู่รวมกันเป็นคู่ หรือหลายตัวได้ แต่ก็มักจะมีการกัดกันบ้างเหมือนกัน เช่น เมื่อมีหนูตัวอื่นบุกรุกมาในถิ่นของตน เป็นต้น

สายพันธุ์ หนูแฮมสเตอร์

รู้จักสายพันธุ์ เจ้าหนูแฮมสเตอร์

          หนูแฮมเตอร์ (Hamster Rat) แบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ ได้ 2 ชนิด คือ

          1. แฮมสเตอร์ไม่แคระ คือ พันธุ์ Syrian บางคนก็เรียกว่า Golden Hamster
          2. แฮมสเตอร์แคระ คือพันธุ์ Winter White, พันธุ์ Campbells, พันธุ์ Chinese และ พันธุ์ Roborovski

Winter White กับ Campbells

          แฮมสเตอร์พันธุ์ Winter White และ พันธุ์ Campbells จะมีลักษณะคล้ายกันมาก จนแยกได้ค่อนข้างยาก ว่าเป็นพันธุ์อะไร โดยเฉพาะ Campbells สีธรรมดา และ Winter White สีธรรมดา จะดูยากมาก

          ทั้งนี้ หนูแฮมสเตอร์พันธุ์ Campbells และพันธุ์ Winter White มีความคล้ายกันมาก เดิมนักวิทยาศาสตร์ เคยจัด Campbells และ Winter White เป็น สปีชีย์ เดียวกัน แต่ต่อมาก็ได้พบความแตกต่าง ของทั้ง 2 พันธุ์นี้ และได้แยกทั้ง 2 พันธุ์นี้ออกจากกันเป็นคนละสปีชีย์ โดยจัด Winter White เป็นสปีชีย์ Sungorus ส่วน Campbell เป็นสปีชีย์ Campbell

          อย่างไรก็ตาม แม้จะดูภายนอกคล้ายกัน แต่ทั้ง 2 พันธุ์นี้จะแตกต่างกัน จึงไม่ควรจะนำมาผสมข้ามพันธุ์กัน ว่ากันว่า 2 พันธุ์นี้ สามารถจะผสมกันได้ เพราะมีความใกล้เคียงกันสูง จำนวนโครโมโซมก็เท่ากัน แต่ไม่แนะนำให้ผสมข้ามพันธุ์ เพราะจะทำให้ลูกที่เกิดมามีโอกาสพิการ หรือผิดปกติสูง